บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ
บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทย
ในระบอบรัฐธรรมนูญ
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 (ปรับปรุงใหม่)
เรียบเรียงจากคำฟ้องคดี
นายรอง ศยามานนท์ กับพวก พ.ศ. 2521
พ่อไม่ต้องการอนุสาวรีย์ใดๆ ที่เป็นวัตถุแต่ปรารถนาให้หนังสือดังกล่าวเป็นอนุสาวรีย์ของพ่อ
บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ
ปรับปรุงจากคำฟ้องของนายปรีดี พนมยงค์ที่เป็นโจทก์ฟ้อง นายรอง ศยามานนท์ กับพวก ในคดีคำพิพากษาศาลแพ่งคดีแดงที่ 14212/2522ซึ่งนายปรีดีได้โต้แย้งในประเด็นต่างๆ ที่นายรองแต่งตำราเรื่อง ประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ บิดเบือนความจริงไป โดยนายปรีดีได้แสดงหลักฐานความจริงหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 ซึ่งหลายเรื่องไม่เคยเปิดเผยในที่ใดมาก่อน กล่าวโดยรวมคือเป็นการแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความขัดแย้งในยุครัฐนิยมของจอมพล ป.พิบูลสงครามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขบวบการเสรีไทยและสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงการแสดงความบริสุทธิ์ของนายปรีดีในกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8
นอกจากคำฟ้องของนายปรีดีที่ใช้ในศาลแล้ว ยังมีบันทึกการสนทนากับเจียงไคเช็คเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2489 เรื่องสถานะของประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และความขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม บันทึกเรื่องชื่อประเทศสยามที่นายปรีดีแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่ามีการใช้คำว่า “สยาม” มาก่อนรัชกาลที่ 4 แล้วรวมถึงข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนชื่อประเทศภาษาอังกฤษกลับไปเป็น Siam หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
รวมถึงจดหมายส่วนตัว 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นของจอมพล ป. ที่เขียนมาถึงนายปรีดีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายของนายปรีดีถึงนายจินดา ชัยรัตน์ ทนายความในคดีนี้
การจัดพิมพ์ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 โดยได้ให้ชื่อหนังสือใหม่ว่า “บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ” นอกจากการเพิ่มเติมภาพประกอบ ทั้งภาพบุคคล และประกาศต่างๆ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ยังได้ค้นคว้าเอกสารส่วนบุคคลของนายปรีดีจากหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเพิ่มเติมประกอบการพิมพ์ครั้งนี้ด้วย
ดังจดหมายส่วนตัวของนายปรีดีฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2522 ถึงภรรยาและบุตรชาย มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงการพิมพ์คำฟ้องคดีนายรอง (รวมถึงคำฟ้องคดีนายชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ ที่จัดพิมพ์แล้วในชื่อ คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร. 8) เพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางว่า
“พ่อก็ชราแล้วไม่มีกำลังจะไปคอยแก้คดีไม่มีสิ้นสุดนั้น ฉะนั้นจึงจำต้องพิมพ์หนังสือคดีต่างๆ ขึ้นเพื่อเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ ... เพื่อชนรุ่นหลังจะได้อาศัยค้นคว้าเพื่อสัจจะทางประวัติศาสตร์
“ชนรุ่นหลังที่มีใจเป็นธรรมก็คงจะอาศัยหลักฐานนั้นช่วยพ่อทำการแย้งฝ่ายปรปักษ์ได้ แทนที่จะช่วยเขียนโดยเดาๆ เอาที่มีน้ำหนักน้อยมาก
“พ่อไม่ต้องการอนุสาวรีย์ใดๆ ที่เป็นวัตถุ แต่ปรารถนาให้หนังสือดังกล่าวเป็นอนุสาวรีย์ของพ่อ”
การจัดพิมพ์ครั้งนี้ เพื่อรำลึกถึงนายปรีดี พนมยงค์ ในวาระ 120 ปีชาตกาล 11 พฤษภาคม 2563 และเพื่อเผยแพร่หลักฐานความจริงหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 ให้ปรากฏ